ความร่วมมือที่สำคัญ ของอาเซียน
ความร่วมมือด้านพลังงานในอาเซียน
อาเซียนเริ่มจัดการประชุม
รัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน (ASEAN
Ministers on Energy Meeting – AMEM) ครั้งแรกในปี 2525
โดยเล็งเห็นความสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางพลังงานเพื่อรองรับการขยายตัว
ทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ
โดยการสร้างเครือข่ายด้านพลังงานในระดับภูมิภาคที่อาศัยจุดแข็งและศักยภาพ
ของแต่ละประเทศในอาเซียนที่มีแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติตลอดจนพลังงานทดแทน
ในรูปแบบต่างๆ ความร่วมมือด้านพลังงานที่สำคัญในอาเซียน ได้แก่
1. โครงข่ายระบบสายส่งไฟฟ้าอาเซียน
อาเซียนได้ลงนาม Memorandum of
Understanding on the ASEAN Power Grid ปี
2550 เพื่อเป็นแนวทางในการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบสายส่งไฟฟ้าและการซื้อขายไฟฟ้าใน
อาเซียน ปัจจุบันมีโครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบสายส่งไฟฟ้าที่ก่อสร้างเสร็จและ
ดำเนินการแล้ว 3 โครงการ กำลังก่อสร้างอยู่ 3 โครงการ
และกำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาอีก 9 โครงการ โดยในส่วนของไทยมีอยู่ 4 โครงการ
2. โครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติอาเซียน
อาเซียนได้ลงนาม Memorandum of Understanding on the Trans-ASEAN Gas Pipeline (TAGP) ปี 2545
เพื่อเป็นแนวทางในการก่อสร้างระบบเครือข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติเชื่อมโยงกัน
ระหว่างประเทศสมาชิก
รวมถึงส่งเสริมการค้าก๊าซธรรมชาติอย่างเสรีผ่านระบบเครือข่ายท่อก๊าซระหว่าง
ประเทศสมาชิก ปัจจุบันอาเซียนมีการเชื่อมโยงโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติในอาเซียน 8
โครงการ รวมระยะทาง 2,300 กม.
และมีแผนการที่จะก่อสร้างเพิ่มเติมอีก 7 โครงการในอนาคต
โดยแหล่งก๊าซนาทูน่าตะวันออกของอินโดนีเซียจะเป็นแหล่งก๊าซหลักที่จะ
สนับสนุนโครงการท่อก๊าซในอาเซียน โดยในส่วนของไทยมีอยู่ 5 โครงการ
3. การจัดทำASEAN
Plan of Action for Energy Cooperation (APAEC) อาเซียนมี
แผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานมาแล้วรวม 2 ฉบับ คือ APAEC ปี 2542-2547 และปี 2547-2552 มีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมความมั่นคงและความยั่งยืนในการจัดหาพลังงาน มีการใช้ทรัพยากรพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันไทยเป็นประธานยกร่าง APAEC ปี 2553-2558 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงานและการพัฒนาที่ ยั่งยืนของอาเซียนสนับสนุนการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558
แผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานมาแล้วรวม 2 ฉบับ คือ APAEC ปี 2542-2547 และปี 2547-2552 มีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมความมั่นคงและความยั่งยืนในการจัดหาพลังงาน มีการใช้ทรัพยากรพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันไทยเป็นประธานยกร่าง APAEC ปี 2553-2558 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงานและการพัฒนาที่ ยั่งยืนของอาเซียนสนับสนุนการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558
4. ศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre of Energy) อาเซียนได้จัดตั้งศูนย์พลังงานอาเซียนในปี 2539 โดยยกฐานะ
"ศูนย์ฝึกอบรม เพื่อการจัดการและวิจัยพลังงานอาเซียน-ประชาคมยุโรป (ASEAN-EU
Energy Management Training and Research Centre)" ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2531 เป็นศูนย์พลังงานอาเซียน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา
และดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการศึกษาวิเคราะห์ รวบรวม ข้อมูล จัดฝึกอบรม
ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานอาเซียนคนปัจจุบันคือ นาย Nguyen Manh Hung ชาวเวียดนาม
5. ความตกลงด้านพลังงานที่สำคัญ
ความตกลงว่าด้วยความมั่นคงทางปิโตรเลียมของอาเซียน (ASEAN Petroleum Security Agreement: APSA) เป็นความตกลงฉบับปรับปรุงจากความตกลงฉบับเดิม ซึ่งได้ลงนามมาตั้งแต่ปี 2529 APSAเป็นกลไกในการแบ่งปันปิโตรเลียมในภาวะฉุกเฉินสำหรับน้ำมันดิบและหรือ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในเวลาหรือสถานการณ์ทั้งที่มีการขาดแคลนและมีอุปทานมาก เกินไป
ความตกลงว่าด้วยความมั่นคงทางปิโตรเลียมของอาเซียน (ASEAN Petroleum Security Agreement: APSA) เป็นความตกลงฉบับปรับปรุงจากความตกลงฉบับเดิม ซึ่งได้ลงนามมาตั้งแต่ปี 2529 APSAเป็นกลไกในการแบ่งปันปิโตรเลียมในภาวะฉุกเฉินสำหรับน้ำมันดิบและหรือ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในเวลาหรือสถานการณ์ทั้งที่มีการขาดแคลนและมีอุปทานมาก เกินไป
ความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน
ความเป็นมา
ที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (AMAF) ครั้งที่ 30 เมื่อวันที่ 23
ตุลาคม 2551 ณ ประเทศเวียดนาม ได้มีมติเห็นชอบแผนนโยบายบูรณาการความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียนและแผน
กลยุทธ์ความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน ค.ศ. 2009-2013 (ASEAN Integrated
Food Security (AIFS) Framework and Strategic Plan of
Action on Food Security in the ASEAN Region (SPA-FS) 2009 – 2013) ซึ่งที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่
14 ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึง 1 มีนาคม 2552
ก็ได้ให้การรับรองเอกสารนี้เพื่อดำเนินการตามแผนงานต่อไป
สรุปสาระสำคัญของแผน
เป้าหมาย เพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านอาหาร
และยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกร
วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มผลผลิตด้านอาหาร ลดการสูญเสียภายหลังการเก็บเกี่ยว ส่งเสริมการเข้าถึงตลาด การค้าสินค้าเกษตรและ
ปัจจัยการผลิต ให้เกิดเสถียรภาพด้านราคา และบรรเทาความขาดแคลนอาหารในกรณีฉุกเฉิน
ขอบเขต ครอบคลุมเฉพาะ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง น้ำตาล และมันสำปะหลัง
ระยะเวลา 5 ปี (ค.ศ.2009-2013)
วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มผลผลิตด้านอาหาร ลดการสูญเสียภายหลังการเก็บเกี่ยว ส่งเสริมการเข้าถึงตลาด การค้าสินค้าเกษตรและ
ปัจจัยการผลิต ให้เกิดเสถียรภาพด้านราคา และบรรเทาความขาดแคลนอาหารในกรณีฉุกเฉิน
ขอบเขต ครอบคลุมเฉพาะ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง น้ำตาล และมันสำปะหลัง
ระยะเวลา 5 ปี (ค.ศ.2009-2013)
องค์ประกอบ กลยุทธ์และแผนงาน
องค์ประกอบ
|
กลยุทธ์
|
แผนงาน
|
1. ความมั่นคงอาหารและการบรรเทากรณีฉุกเฉิน/ขาดแคลน
|
1. สร้างความเข้มแข็งในการจัดการด้านความมั่นคงอาหาร
|
- สร้างความเข้มแข็งด้านความมั่นคงอาหาร - พัฒนากลไกและความริเริ่มการสำรองอาหาร
|
2. การพัฒนาการค้าอย่างยั่งยืน
|
2. ส่งเสริมตลาดและการค้าสินค้า
|
- สนับสนุนการค้าอาหารอย่างยั่งยืน
|
3. บูรณาการระบบข้อมูลสารสนเทศด้านความมั่นคงอาหาร
|
3. การบูรณาการระบบข้อมูลสารสนเทศ
|
- ส่งเสริมให้โครงการระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อความมั่นคงด้านอาหารอาเซียน (AFSIS)
เป็นกลไกในระยะยาว
|
4. นวัตกรรมด้านการเกษตร
|
4. ส่งเสริมการผลิตอย่างยั่งยืน
5. กระตุ้นการลงทุนด้านอาหารและอุตสาหกรรมเกษตร 6. จำแนกและแก้ไขประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงอาหาร |
- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตร
- การใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ - งานวิจัยและพัฒนา - ความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยี - การพัฒนาอาหารและอุตสาหกรรมเกษตร - แก้ไขปัญหาการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ - แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ |
กลไกการดำเนินงานและแหล่งเงินทุน
คณะทำงานรายสาขาภายใต้รัฐมนตรี
อาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (AMAF) และเป็นการร่วมลงทุนระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน คู่เจรจา
และองค์กรระหว่างประเทศ
โครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติอาเซียน
วิสัยทัศน์อาเซียน 2020 (ASEAN Vision 2020)
ได้เรียกร้องให้อาเซียนมีความร่วมมือเพื่อที่จะดำเนินการเชื่อมโยงพลังงาน
ไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ โดยการพัฒนาโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power
Gird) และโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติอาเซียน (Trans-ASEAN
Gas Pipeline) พร้อมกับ ส่งเสริมความร่วมมือด้านประสิทธิภาพพลังงาน
การอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งการพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ และพลังงานทดแทน
โดยอาเซียนได้มอบหมายให้คณะมนตรีอาเซียนว่าด้วยปิโตรเลียม (ASEAN Council
on Petroleum : ASCOPE) เป็นกลไกหลักในการดำเนินโครงการ
ASCOPE
ได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเกี่ยวกับโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ อาเซียน (Task
Force on ASEAN Gas Pipeline)
และได้จัดทำแผนแม่บทโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติอาเซียน
โดยปรับปรุงจากแผนแม่บทเพื่อการพัฒนา และการใช้ก๊าซธรรมชาติในภูมิภาคอาเซียน ปี
2539
ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่
20 ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2545
อาเซียนได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติ อาเซียน Memorandum of Understanding (MoU) on the
Trans-ASEAN Gas Pipeline (TAGP)
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบการทำงานอย่างกว้าง ๆ
สำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนในการประสานความร่วมมือเพื่อดำเนินโครงการให้ สัมฤทธิ์ผล
และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของภูมิภาคอาเซียน
ปัจจุบันอาเซียนมีการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซ
ธรรมชาติในระดับทวิภาคีรวม 8 โครงการ ระยะทางรวม 2,319 กม. และมีแผนการที่จะก่อสร้างเพิ่มเติมอีก
7 โครงการในอนาคต โดยแหล่งก๊าซ
นาทูน่าตะวันออกของอินโดนีเซียจะเป็นแหล่งก๊าซหลักที่จะสนับสนุนโครงการท่อ
ก๊าซในอาเซีย
โครงการ
|
ระยะทาง (กม.)
|
หมายเหตุ
|
1. โครงการที่สร้างเสร็จแล้ว
|
||
Malaysia – Singapore
|
5
|
สร้างเสร็จในปี 2534
|
Yanada, Myanmar - Ratchaburi,
Thailand
|
470
|
สร้างเสร็จในปี 2542
|
Yetagun, Myanmar - Ratchaburi,
Thailand
|
340
|
สร้างเสร็จในปี 2543
|
W.Natuna, Indonesia – Singapore
|
660
|
สร้างเสร็จในปี 2544
|
W.Natuna, Indonesia – Duyong,
Malaysia
|
100
|
สร้างเสร็จในปี 2544
|
S.Sumatera, Indonesia – Singapore
|
470
|
สร้างเสร็จในปี 2546
|
Malaysia – Thailand (JDA)
|
270
|
สร้างเสร็จในปี 2548
|
Malaysia – Singapore
|
4
|
สร้างเสร็จในปี 2549
|
2. โครงการใหม่ที่เสนอในแผนแม่บท
|
||
Duri, Indonesia – Melaka, Malaysia
|
200
|
|
W.Natuna, Indonesia – Duyong,
Malaysia
|
100
|
|
E.Natuna, Indonesia – Erawan,
Thailand
|
975
|
|
E.Natuna, Indonesia – Kerteh,
Malaysia
|
480
|
|
E.Natuna, Indonesia – Singapore
|
720
|
|
E.Natuna, Indonesia – Sabah,
Malaysia – Palawan – Luzon, Philippines
|
1540
|
|
Malaysia – Thailand (JDA-Block B)
|
140
|
|
Pauh, Malaysia – Arun, Sumatera,
Indonesia
|
365
|
ระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อความมั่นคงทางด้านอาหารอาเซียน
ระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อความมั่นคงทางด้าน
อาหารอาเซียนได้ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2546 และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากประเทศสมาชิกอาเซียนรวมทั้งประเทศ
ญี่ปุ่น
จนทำให้เกิดบูรณาการของระบบข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคงอาหารในระดับภูมิภาค
วัตถุประสงค์ของระบบข้อมูลสารสนเทศนี้ก่อ
ตั้งขึ้นเพื่อทำให้ประเทศสมาชิกสามารถพัฒนาระบบสารสนเทศการเกษตรในภูมิภาค
อาเซียนซึ่งการจัดทำระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่าง
สะดวกนั้นจำเป็นต้องมีข้อมูลที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่ถูกต้องครบถ้วน
ทั้งในระดับประเทศและภูมิภาคและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนและจัดทำ นโยบาย
รวมทั้งติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ด้านความมั่นคงทางด้านอาหารในภูมิภาค
อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยป้องกันการเกิดปัญหาการขาดแคลนอาหาร
หรือการผลิตเกินความต้องการ อีกทั้งยังเอื้อประโยชน์ต่อการสร้างระบบเตือนภัย
เช่นการเกิดโรคระบาด ภาวะตกต่ำของราคาสินค้า เป็นต้น
ประเทศไทยโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ซึ่งได้รับมอบหมายจากอาเซียนให้เป็นผู้จัดการโครงการนี้ได้จัดทำข้อมูลและ
เป็นศูนย์กลางข้อมูลการเกษตรของกลุ่มประเทศอาเซียนโดยแต่ละประเทศจะจัดส่ง
ข้อมูลมายังฐานข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ซึ่งจะทำการรวบรวม วิเคราะห์
และเผยแพร่ผ่าน Website
“afsis.oae.go.th” โดยข้อมูลประกอบด้วยการผลิต ราคา
การนำเข้าและการส่งออกสินค้าเกษตร 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว ถั่วเหลือง มันสำปะหลัง
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และอ้อยโรงงาน นอกจากนี้ยังมีข้อมูลประชากร แรงงาน
ข้อมูลด้านการผลิต เช่น เนื้อที่เพาะปลูก เนื้อที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต ผลผลิตต่อไร่
ข้อมูลด้านเศรษฐกิจการเกษตร เช่น ราคา บัญชีสมดุล รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับประชากร
แรงงาน และ การใช้ที่ดิน เป็นต้น
จากความร่วมมือดังกล่าวทำให้ประเทศอาเซียน
มีข้อมูลที่สำคัญยิ่งของภูมิภาคอาเซียน
ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนซึ่งจะช่วยเร่งผลักดันให้ประเทศสมาชิกมีความสามารถใน
การจัดทำข้อมูลรวมทั้งมีระบบเครือข่ายหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทำให้
สามารถมีข้อมูลเตือนภัย(Early Warning
Information) และพยากรณ์สินค้าเกษตรในภูมิภาคอาเซียน (Commodity
Outlook Report)
เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนในการกำหนดนโยบายและการวางแผนทั้งด้านการผลิตและการ
ตลาดให้แก่ประเทศสมาชิกอาเซียน และคาดว่า จากการดำเนินงานดังกล่าว
จะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวไปสู่การเป็นผู้นำและศูนย์กลางด้านข้อมูล
การเกษตรของภูมิภาคอาเซียนต่อไป
โครงข่ายระบบสายส่งไฟฟ้าอาเซียน
ประเทศสมาชิกอาเซียนมีนโยบายร่วมกันที่จะ
พัฒนาและเชื่อมโยงโครงข่ายระบบสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid)
เพื่อส่งเสริมความมั่นคงของการจ่ายไฟฟ้าของภูมิภาคและส่งเสริมให้มีการซื้อ
ขายพลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศ เพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าโดยรวม
ในการดำเนินการตามนโยบายให้เกิดผลเป็นรูปธรรม อาเซียนได้มอบหมายให้ผู้บริหารสูงสุดการไฟฟ้าของกลุ่มประเทศอาเซียน
(Head of ASEAN Power Utilities/Authorities : HAPUA) มีหน้าที่รับผิดชอบในการผลักดันให้เกิดโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าอาเซียน
ที่ประชุมรัฐมนตรีด้านพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 21
ณ เมืองลังกาวี ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2546
ได้ให้ความเห็นชอบแผนแม่บทการเชื่อมโยงระบบสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Interconnection
Master Plan Study: AIMS) ที่ HAPUA ได้จัดทำขึ้น
เพื่อเป็นเอกสารอ้างอิงเพื่อใช้ในการดำเนินงานให้เกิดโครงการเชื่อมโยงระบบ
สายส่งไฟฟ้าต่าง ๆ ในอาเซียน
ที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 25
ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยเรื่อง โครงข่ายระบบสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (Memorandum of
Understanding on the ASEAN Power Grid) เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม
2550 เพื่อเป็นกรอบในการกำหนดนโยบายร่วมของภูมิภาคในการผลักดันให้การเชื่อมโยง
ระบบสายส่งไฟฟ้าและการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเกิดขึ้นเป็น รูปธรรม
HAPUA
ตั้งเป้าว่าจะดำเนินการก่อสร้างโครงการเชื่อมโยงระบบส่งไฟฟ้าอาเซียนทั้ง 15
โครงการให้แล้วเสร็จภายในปี 2558
สถานะการดำเนินโครงการ
โครงการเชื่อมโยงระบบส่งไฟฟ้า
|
สถานะ
|
1. Peninsular
Malaysia – Singapore
|
ก่อสร้างเสร็จและดำเนินการส่งกระแสไฟฟ้าแล้วตั้งแต่ปี 2528
|
2. Thailand –
Peninsular Malaysia
|
ก่อสร้างเสร็จและดำเนินการส่งกระแสไฟฟ้าแล้วตั้งแต่ปี 2544
|
3. Thailand –
Cambodia
|
ก่อสร้างเสร็จและดำเนินการส่งกระแสไฟฟ้าแล้วตั้งแต่ปี 2550
|
4. Thailand –
Lao PDR
|
กำลังดำเนินการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จปี
2552/ 2553
|
5. Vietnam –
Cambodia
|
กำลังดำเนินการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2553
|
6. Lao PDR –
Cambodia
|
ลงนามสัญญาก่อสร้างแล้ว
|
7. Sumatra –
Peninsular Malaysia
|
อยู่ในขั้นตอนการเจรจาหรือศึกษาความเป็นไปได้
|
8. Batam –
Bintan – Singapore
|
อยู่ในขั้นตอนการเจรจาหรือศึกษาความเป็นไปได้
|
9. Sarawak –
West Kalimantan
|
อยู่ในขั้นตอนการเจรจาหรือศึกษาความเป็นไปได้
|
10.
Philippines – Sabah
|
อยู่ในขั้นตอนการเจรจาหรือศึกษาความเป็นไปได้
|
11. Sarawak –
Sabah – Brunei
|
อยู่ในขั้นตอนการเจรจาหรือศึกษาความเป็นไปได้
|
12. Sarawak –
Peninsular Malaysia
|
อยู่ในขั้นตอนการเจรจาหรือศึกษาความเป็นไปได้
|
13. Thailand
– Myanmar
|
อยู่ในขั้นตอนการเจรจาหรือศึกษาความเป็นไปได้
|
14. Lao PDR –
Vietnam
|
อยู่ในขั้นตอนการเจรจาหรือศึกษาความเป็นไปได้
|
15. Sabah –
East Kalimantan
|
เป็นโครงการเพิ่มเติม
และอยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้
|
โครงการถนนอาเซียน
การประชุมรัฐมนตรีด้านการขนส่งของอาเซียน (ASEAN Transport Minister
Meeting-ATM) ครั้งที่ 2 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 27-28
กุมภาพันธ์ 2540
มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของฝ่ายไทยที่ให้มีการกำหนดโครงข่ายทางหลวงอาเซียน
เพื่อรองรับการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงข่ายทางหลวงของประเทศสมาชิก
ทั้งนี้เพื่อรองรับการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน ขยายโอกาสและลู่ทางการค้า
การไปมาหาสู่กันของประชาชนและการท่องเที่ยวโดยมีไทยเป็นศูนย์กลาง
การประชุมรัฐมนตรีด้านการขนส่งของอาเซียน ครั้งที่ 3 ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์
เมื่อวันที่ 2-5 กันยายน 2540
ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการของโครงการทางหลวงอาเซียน
และให้จัดตั้งเป็นคณะผู้เชี่ยวชาญด้านทางหลวงอาเซียนโดยมีขอบข่ายการดำเนิน งาน 4
ประการ ดังนี้
1.
จัดทำโครงข่ายทางหลวงอาเซียน
2.
จัดทำมาตรฐานทางหลวงอาเซียนให้เป็นแบบเดียวกัน
ทั้งนี้ให้รวมถึงป้ายจราจร สัญญาณ ระบบหมายเลขทางหลวง
เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับความร่วมมือในการวางแผนและพัฒนาระบบโครงข่ายทางหลวง อาเซียน
3.
กำหนดเส้นทางสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ
และอำนวยความสะดวกในการขนส่งผ่านแดน รวมทั้ง
กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการขนส่งผ่านแดน
4.
จัดทำแผนพัฒนาทางหลวงอาเซียนเพื่อแสวงหาการสนับสนุนด้าน
เงินลงทุนจากองค์กรที่ ให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนา (Official Development Assistance-ODA)
หรือภาคเอกชน หรือจากความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน
โครงข่ายทางหลวงอาเซียนที่กำหนดมีเป้าหมายที่จะเชื่อมโยงถนนในพื้นที่ซึ่งมี
ศักยภาพสูงของประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าด้วยกัน โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 23 สายทาง
ระยะทาง 36,600 กิโลเมตร
ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการทางหลวงอาเซียน
กำหนดเป้าหมายเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 ( ปี พ.ศ. 2543)
กำหนดโครงข่ายและเส้นทางทางหลวงอาเซียนให้แล้วเสร็จ
ระยะที่ 2 ( ปี พ.ศ. 2547) ทางหลวงที่กำหนด เป็นเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศอาเซียนจะได้รับการปรับปรุง พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องหมายจราจรบนเส้นทางเหล่านั้นให้แล้วเสร็จ มีการก่อสร้างเสริมถนนช่วงที่ขาดตอน และเปิดดำเนินการจุดผ่านแดนทั้งหมด
ระยะที่ 3 ( ปี พ.ศ. 2563) ทางหลวงที่กำหนด เป็นเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศ จะได้รับการปรับปรุงเป็นถนนมาตรฐานชั้น 1 หรือชั้นพิเศษ แต่สำหรับเส้นทางที่มีปริมาณการจราจรต่ำและไม่เป็นโครงข่ายหลัก ยินยอมให้ก่อสร้างเป็นถนนมาตรฐานชั้น 2
ระยะที่ 2 ( ปี พ.ศ. 2547) ทางหลวงที่กำหนด เป็นเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศอาเซียนจะได้รับการปรับปรุง พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องหมายจราจรบนเส้นทางเหล่านั้นให้แล้วเสร็จ มีการก่อสร้างเสริมถนนช่วงที่ขาดตอน และเปิดดำเนินการจุดผ่านแดนทั้งหมด
ระยะที่ 3 ( ปี พ.ศ. 2563) ทางหลวงที่กำหนด เป็นเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศ จะได้รับการปรับปรุงเป็นถนนมาตรฐานชั้น 1 หรือชั้นพิเศษ แต่สำหรับเส้นทางที่มีปริมาณการจราจรต่ำและไม่เป็นโครงข่ายหลัก ยินยอมให้ก่อสร้างเป็นถนนมาตรฐานชั้น 2
โครงการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟสิงคโปร์-คุนหมิง
ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 5 ในปี 2538
ประเทศสมาชิกอาเซียนและจีนได้ให้ความเห็นชอบโครงการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ
สิงคโปร์-คุนหมิง
โดยลักษณะโครงการเป็นการเชื่อมโยงและปรับปรุงเส้นทางรถไฟที่มีอยู่แล้วของ ประเทศ 6
ประเทศที่ประกอบด้วย สิงคโปร์-มาเลเซีย-ไทย-กัมพูชา -เวียดนาม-จีน
โดยมีการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟหลัก จากสิงคโปร์-
กัวลาลัมเปอร์-กรุงเทพฯ-อรัญประเทศ-ปอยเปต-ศรีโสภณ-พนมเปญ-โฮจิ
มินห์-ฮานอย-คุนหมิง ระยะทางรวม 5,382 ก.ม.
ท้งนี้เพื่อเซื่อมการคมนาคมระหว่างอาเซียนกันเองและกับจีนทางตอนใต้ด้วย
และจะเป็นทางเลือกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารอีกทางหนึ่งให้แก่ประเทศใน ภูมิภาค
โครงการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ สิงคโปร์-คุนหมิง
มีเส้นทางรถไฟช่วงที่เรียกว่า missing
link ในส่วนของ 6 ประเทศรวมระยะทาง 431 ก.ม.
โดยในส่วนของไทยมีเส้นทางรถไฟช่วงที่เรียกว่า missing link
ระยะทาง 153 กม. ที่จะเชื่อมโยงกับพม่า (เริ่มจาก สถานีน้ำตก-
บ้านแก่งปโลม-หมู่บ้านช้างภู่ทอง-ห้วยอู่ล่อง-บ้านโชคดีสุพรรณ-อำเภอ สังขละบุรี จนถึงด่านเจดีย์สามองค์)
โครงการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ สิงคโปร์-คุนหมิง
จำเป็นต้องใช้เงินทุนสนับสนุนโครงการมูลค่ากว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีบางประเทศเช่น จีน
เกาหลีใต้และญี่ปุ่น และองค์การระดับภูมิภาคเช่น ADB
ให้การสนับสนุนในเรื่องการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
ความร่วมมืออาเซียนด้าน SMEs
การประชุม ASEAN
SME Agencies Working Group
เป็นเวทีซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อให้ประเทศสมาขิกอาเซียนได้หารือกันเพื่อจัดทำ
แผนการพัฒนา SMEs ในภูมิภาคอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม
การประชุม ASEAN SME Agencies Working Group จะจัดให้มีขึ้น 2 ครั้งต่อ ปี โดยการประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น
ประสบการณ์ระหว่างผู้นำด้านนโยบายส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมใน อาเซียน เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านนโยบาย SMEs ภายในภูมิภาคอาเซียนและผลักดันโครงการพัฒนา SMEs ในระดับภูมิภาค
SMEs ซึ่งรวมถึงวิสาหกิจรายย่อย
เป็นรากฐานทางเศรษฐกิจในอาเซียนเนื่องจาก SMEsก่อให้เกิดการจ้างงานมากที่สุดในทุกๆสาขา
นอกจากนี้ SMEs
ยังเป็นช่องทางให้สตรีและเยาวชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ อีกด้วย
SMEs ประสบกับความท้าทายทั้งทางด้านการเงินและมิใช่การเงิน
รวมถึงปัญหา การเข้าถึงแหล่งเทคโนโลยี และตลาด นอกจากนี้ SMEs ยังขาดความตระหนักในการเป็นผู้ประกอบการและทักษะทางด้านการบริหารจัดการ
รวมทั้งการขาดข้อมูล การกำหนดมาตรฐานในด้านการดำเนินการต่างๆ
และยังต้องยกระดับการดำเนินธุรกิจของตนให้ทันต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท
ขนาดใหญ่ในแง่ต่างๆ อาทิเช่น การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การ Outsourcing และการใช้เครือข่ายในการดำเนินธุรกิจ
SMEs
ในปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะต้องมีความคิดสร้างสรรค์และมีนวัตกรรม เพื่อที่จะสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายในตลาดโลกได้
เนื่องจากในขณะนี้การดำเนินธุรกิจต่างๆมีการแข่งขันสูง
เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ตลาดมีความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้น
และผู้บริโภคมีความต้องการที่เปลี่ยนไป ดังนั้นการสร้าง Cluster ให้แก่ SMEs การสร้างเครือข่าย inter-firm
networks และ การเชื่อมโยง SMEs
ในอาเซียนจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ในภูมิภาคได้
ซึ่งภาครัฐในฐานะที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก
และภาคเอกชนในฐานะที่เป็นผู้ขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องผนึกกำลังกันใน
การสร้างและส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ
ในขณะนี้มีโครงการภายใต้กรอบนโยบายการพัฒนา SME ของอาเซียนจำนวนทั้งหมด 20
โครงการ โดยมีโครงการที่สำคัญดังนี้ การสร้างเครือข่ายบริษัทการค้า SMEs ในกลุ่มประเทศอาเซียน การจัดตั้งกองทุนพัฒนา SMEs และการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งศูนย์ให้บริการครบวงจรสำหรับ
SMEs ในภูมิภาค
ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน
การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 (The 14th ASEAN Summit) ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 1 มีนาคม
2552 ประเทศอาเซียนได้มีมติเห็นชอบที่จะให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมการเดิน
ทางท่องเที่ยวภายในภูมิภาค (Intra-ASEAN Travel and Tourism)
เพื่อให้เกิดการกระตุ้นทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาค
แนวทางการส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวของ
อาเซียน ได้แก่ การส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับเยาวชน การจัดทำแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว
ของอาเซียน ระหว่าง ปี 2554-2558
การเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวของอาเซียน และการสร้างมาตรการจูงใจให้นัก ท่องเที่ยวที่มีสัญชาติอาเซียนเดินทางในภูมิภาคมากขึ้น การส่งเสริมการจัด กิจกรรมท่องเที่ยวทางเรือสำหรับเยาวชน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว กับ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดียและรัสเซีย โดยเน้นการกระตุ้นให้เกิดการท่อง เที่ยวระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศเครือข่ายให้มากขึ้น ทั้งนี้ ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากตลาดท่องเที่ยวอาเซียนและการสร้างจุดขายร่วม กับประเทศอาเซียนให้กับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยขณะนี้อาเซียนได้มีการจัดทำกรอบความตกลงยกเว้นการตรวจลงตรา (visa exemption) ให้กับนักท่องเที่ยวอาเซียนและกำลังเจรจาจัดทำความตกลง single visa ให้กับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่สาม
การเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวของอาเซียน และการสร้างมาตรการจูงใจให้นัก ท่องเที่ยวที่มีสัญชาติอาเซียนเดินทางในภูมิภาคมากขึ้น การส่งเสริมการจัด กิจกรรมท่องเที่ยวทางเรือสำหรับเยาวชน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว กับ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดียและรัสเซีย โดยเน้นการกระตุ้นให้เกิดการท่อง เที่ยวระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศเครือข่ายให้มากขึ้น ทั้งนี้ ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากตลาดท่องเที่ยวอาเซียนและการสร้างจุดขายร่วม กับประเทศอาเซียนให้กับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยขณะนี้อาเซียนได้มีการจัดทำกรอบความตกลงยกเว้นการตรวจลงตรา (visa exemption) ให้กับนักท่องเที่ยวอาเซียนและกำลังเจรจาจัดทำความตกลง single visa ให้กับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่สาม
การส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงของเส้นทางท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอาเซียน
(ASEAN Tourism
Connectivity Corridors)
จะสอดคล้องกับนโยบายการจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงในระดับจังหวัด
กลุ่มจังหวัดของประเทศไทยและสมาชิกอาเซียน
โดยแต่ละประเทศอาเซียนจะจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างกันเพื่อส่ง
เสริมการเดินทางท่องเที่ยวภายในภูมิภาค (Intra-ASEAN Travel and Tourism) ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยก็ได้จัดทำโครงการ ASEAN
Family Car Rally ระหว่างวันที่ 1-3 มีนาคม 2552 ที่อำเภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา และวันที่ 8-10 มีนาคม
2552 ที่จังหวัดพิษณุโลก เพื่อสนับสนุนนโยบายดังกล่าวของอาเซียน
เนื่องจากการท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ
อาเซียนจึงสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวของเยาวชนโดยประกาศให้ปี 2552-2553
เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวเยาวชน (Youth
Travellers’Years 200-2010) ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยก็ได้จัดทำโครงการเพื่อสนับสนุนการเดิน
ทางของเยาวชน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการยุวทูตท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN
Tourism Youth Ambassadors) ระหว่างวันที่
15-24 มกราคม 2552 และโครงการฟุตบอลเยาวชนอาเซียน (ASEAN Youth Football
Cup) ในเดือนมิถุนายน 2552
อาเซียนได้ร่วมหารือกันในการหาแนวทางการกระตุ้นธุรกิจการท่องเที่ยวที่กำลัง
ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจของโลกอยู่ในขณะนี้
โดยพยายามฟื้นฟูการท่องเที่ยวและจัดให้มีการนำเที่ยวในรูปแบบใหม่เพื่อ
ดึงดูดลูกค้า นอกจากนี้ยังได้มีการหารือกันถึงเรื่องการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว
อาเซียน พ.ศ. 2554-2558 (ASEAN
Tourism Strategic Plan 2011-2015)
การส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงของเส้นทางท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอาเซียน
การจัดตั้ง ASEAN Tourism Investment Corridor
และวางแผนร่วมกันในการคัดเลือกโรงแรมในประเทศอาเซียนให้ใช้ชื่อ ASEAN Green
Hotel การจัดฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน
จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม รวมทั้งจัดฝึกอบรมภาษาให้กับมัคคุเทศก์ของ
สมาชิกอาเซียนและจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในเรื่องการตลาดให้กับเจ้าหน้าที่
ด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น